วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2556


Black Veil Brides




แบล็กวีลไบรส์ (อังกฤษ: Black Veil Brides) เป็นวงร๊อคของอเมริกา มีทีมาดั้งเดิมจากเมืองซินซินแนติ ในโอไฮโอ ทุกคนยกเว้นเพียงแต่ แอนดี้ ที่มาจาก ฮอลลีวูด แคริฟอร์เนีย (โดยที่วงนี้ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.2009 ในฮอลลีววูด) โดยในวงมีสมาชิกดังต่อไปนี้ แอนดี้ บิเออแซก (นักร้องนำ), แอชเล่ เพอร์ดี้ (เบสและคอรัส), เจค พิทท์ (กีต้าร์ลีด), จิ๊งส์ (กีต้าร์ริทึ่มและไวโอลิน) และซีซี หรือ คริสเตียน โคม่า (กลอง) Black Veil Brides เป็นที่รู้จักไปทั่วด้วยเอกลักษณ์ของพวกเขาที่แตกต่าง ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากวง Kiss และ Motley Crue

วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Sleeping With Sirens

Sleeping With Sirens Pictures, Images and Photos

    สลีปปิงวิทไซเรนส์   เป็นวงโพสต์ฮาร์ดคอร์ ของอเมริกาจาก ออร์แลนโด รัฐฟลอริดา โดยเริ่มฟอร์มวงในปี 2009 จากสมาชิกจากง For All We Know ,บอร์ดเวย์ และ We Are Defiance และมาเซ็นสัญญากับค่าย Rise Records และเริ่มโปรโมตสองอัลบั้มเต็มขอเค้า If You Were a Movie, This Would Be Your Soundtrack ซึ่งออกจำหน่ายในวันที่ 26 มิถุนายน 2012
โดยวงเริ่มมีชื่อเสียงมาจากนักร้องนำ Kellin Quinn ด้วยเสียงอันเป็นเอกลักษณ์โดยมีแรงบันดาลใจในเพลงมากจากการร้องแบบทเพลงขอบคุณพระเจ้า และอัลบั้มแรกของเค้า With Ears to See and Eyes to Hear ออกจำหน่ายในวันที่ 23 มีนาคม 2010 และเข้าชาร์ต บิลบอร์ด ท็อปฮิตในอันดับที่ 7 และอันดับที่ 36 ของท๊อบชาร์ต อินดีเปนเด๊น อัลบั้มซึ่งอัลบั้มที่สองขอพวกเค้า Let's Cheers to This ออกวางจำหน่ายในวันที่ 10 พฤษภาคม 2011 โดยเพลงแรก Let's Cheers to This ออกวางจำหน่ายในวันที่ 7 เมษายน 2011

วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556




Suicide Silence (ซูไซด์ ไซเลนซ์) คือวงลูกผสมระหว่างดนตรีเดธเมตัลกับดนตรีประเภทเมตัลคอร์ จึงทำให้ดนตรีของพวกเขาถูกเรียกขึ้นมาอีกแบบในกลุ่มผู้ฟังยุคใหม่ง่าเป็น “Deathcore (เดธคอร์)” มันจะก่ำกึ่งอยู่ระหว่างเดธเมตัลเสียมากกว่า แต่บางครั้งก็ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มของวงกระแส ไม่แปลกใจที่พวกเขามันทัวร์ได้ทั้งวงเดธเมตัล และบางงานอาจจะทัวร์สนับสนุนให้กับวงเมตัลคอร์
   เด็กหนุ่ม 5 ชีวิตจากเมืองคาลิฟอร์เนีย ตั้งวงครั้งแรกในปี 2002 สมาชิกล่าสุดประกอบด้วยChris Garza (กีตาร์), Mitch Lucker (ร้องนำ), Mike Bodkins (เบส), Mark Heylmun (กีตาร์), Alex Lopez (กลอง) พวกเขาเคยออกเดโมเทปมาก่อนหน้านี้แล้ว ถึง 2 ชุด โดยเป็นการลงทุนทำกันเอง ต่อมาอีพีชุดแรกก็เกิดขึ้นโดยมีสังกัด Third Degree Records เป็นต้นสังกัดแรก พวกเขามาโด่งดังจนเตะตาสังกัดใหญ่อย่าง Century Media เข้าด้วยสปริตอัลบัมกับวง Downtown Massacre ในปี 2006 เป็นงานที่สร้างชื่อให้กับวงค่อนข้างมาก
   2 ปีต่อมา ได้เซ็นสัญญาภายใต้สังกัด Century Media และปล่อยอัลบั้มเต็ม The Cleansing ซึ่งบันทึกเสียงโดย Krissan Duwason มิกซ์เสียงโดย Tue Madsen มี John Travis เป็นโปรดิวเซอร์ ออกแบบปกโดย Dave Mckean และอัลบั้มดังกล่าวอยู่ในอันดับที่ 94 จาก 200 อันดับของบิลบอร์ด โดยขายได้ 7,250 แผ่นในสัปดาห์แรกและกลายเป็นอัลบั้มที่ขายดีเป็นประวัติการณ์ของ Century Media ด้วยความสำเร็จจากการออกอัลบั้มนี้ Suicide Silence ได้เข้าร่วมแสดงคอนเสิร์ต Mayhem Festival ที่จัดขึ้นในปี 2008 พวกเขาทัวร์คอนเสิร์ตในยุโรปร่วมกับวง Parkway Drive และ Bury Your Dead และทัวร์ในอเมริการ่วมกับวงดังกล่าวก็ประสบความสำเร็จด้วยดี นอกจากนี้ในช่วงกลางปี 2008 ยังได้ทัวร์คอนเสิร์ตร่วมกับ Parkway Drive, A Day to Remember และ The Acacia Strain ซึ่งเป็นช่วงที่เล่นในงาน Sweat Fest และกลุ่มแฟน ๆ เริ่มขยายวงกว้างออกไปทั่วโลก
   ก่อนหน้าที่เริ่มแสดงในงาน Mayhem Festival พวกเขาก็ได้ตั้งชื่อโปรไฟล์ ใน MySpace ว่า ?Suicide Silence (Is writing a new album)? ในวันที่ 26 มิถุนายน ปี 2008 Mitch Lucker ได้ให้สัมภาษณ์ใน blog podcast ของรายการ Headbangers Ball ในบทสัมภาษณ์ Mitch กล่าวว่าจะมีการบันทึกอัลบั้มใหม่ผ่านแทรคที่แหวกแนวจากการบันทึกอัลบั้มที่ผ่านมาอย่าง The Cleansing อัลบั้มนี้วางแผงในวันที่ 30 มิถุนายน ปี 2009 แต่เปิดให้ฟังใน MySpace ก่อนวันที่จะวางแผง เขายังกล่าวอีกว่าอัลบั้มใหม่นี้จะทำให้อัลบั้ม The Cleansing ชิดซ้ายตกขอบไปเลยทีเดียว และทางวงก็ได้เลือก Machine เป็นโปรดิวเซอร์ของอัลบั้มนี้
   Suicide Silence เริ่มบันทึกอัลบั้มที่สองที่มีชื่อว่า No Time to Bleed ในเดือนกุมภาพันธ์โดยมี Machine เป็นโปรดิวเซอร์  และ Will Putney เป็น Sound Engineer  แต่ก่อนหน้าที่จะออกอัลบั้มใหม่  พวกเขาได้เล่น4 เพลงในอัลบั้มนี้แล้วคือ No Time to Bleed, Your Creations, Lifted  และ Wake Up ในคอนเสิร์ต Cleansing The Nation tour และ the Music As A Weapon tour ในเดือนเมษายนพวกเขาได้รับรางวัล Revolver Golden God Award ในสาขา Most Innovative Band? และได้ทำการแสดงในงานประกาศผลรางวัลด้วย
   ในปี 2009 Suicide Silence ได้เข้าร่วมแสดงในคอนเสิร์ต Pedal to the Metal ร่วมกับวง Mudvayne, Static-X, Bury Your Dead, Dope และ Black Label Society ในปีเดียวกัน Suicide Silence ได้รับรางวัล Golden God award ในสาขา Best New Talent ซึ่งรางวัลที่สองนี้ได้รับการยอมรับมาจนถึงปัจจุบัน Suicide Silence ได้ออกอัลบั้มเต็มอัลบั้มที่สอง No Time to Bleed ในวันที่ 30 มิถุนายน ปี 2009 ภายใต้สังกัด Century Media โดยมี Matchine เป็นโปรดิวเซอร์  อัลบั้มนี้ไต่อันดับได้สูงสุดเป็นลำดับที่ 32 จาก 200 ของบิลบอร์ด  เฉพาะในอเมริกาขายได้ 14,000 แผ่นภายในอาทิตย์แรก  เพลง Genocide ได้ถูกนำมาเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Saw VI และนอกจากนี้มิวสิควิดีโอเพลงดังกล่าวได้ออกอากาศทางเว็บไซต์ของ Bloody Disgusting Suicide Silence มีกำหนดการแสดงคอนเสิร์ตตลอด Warped Tour 2010 ใน Hurley Stage ทางวงประกาศว่ามิวสิควิดีโอเพลง Disengage ซึ่งเป็นซิงเกิ้ลที่ปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 20 เมษายน ปี 2010 จะออกอากาศในเดือนพฤษภาคม ปี 2010
   โดยปี 2011พวกเขาเริ่มเตรียมอัลบั้มเต็มชุดที่ 3ของพวกเขา ใน Big Bear, California กับ Steve Evetts  ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ที่พวกเขาเลือกไว้
ระหว่างเดือน มีนาคมพวกเขามีกลุ่มที่ดำเนินการที่แคลิฟอร์เนีย ในงาน Metalfest
และสัปดาห์ต่อมา ที่เนวาด้ากับงาน Extreme Thing festivals ทั้งนี้ในงานพวกเขาได้คอนเฟริ์มเรื่องอัลบั้มเต็มชุดที่ 3 ของพวกเขาในงานนี้ ส่วนชื่อในการทำงานของอัลบั้มนี้คือ  "Cancerous Skies", "Human Violence" และ "Fuck Everything" อัลบั้มชุดที่ 3 ของพวกเขา ก็เป็นที่น่ายินดีเพราะขายได้ 14,000 ก็อปปี้ ในสัปดาห์แรกที่อเมริกา และเปิดตัวอย่างสวยงามด้วยการขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ 28 ของ Billboard 200 Chart
   และยังได้ร่วมงานกับ "Jonathan Davis" กระบอกเสียงแห่งวง "Korn" ทำให้เพลง "Witness the Addiction" มีกลิ่นของ"์ีNu Metal" ติดมากลับเพลงไปด้วยทำให้ดนตรีมีความลำลึกถึงซาวด์สมัยก่อนที่พวกเขาได้เติบโตมา.. และที่เด็ดที่สุดคือได้ร่วมงานกับ "Frank Mullen" กระบอกเสียงแห่ง "Suffocation"
ยิ่งทำให้เพลง "Smashed" มีความดุดันมากยิ่งขึ้น และยังมี โบนัสเพลง Cover Rob Zombie Cover กับเพลง "Super Beast" อีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556

All Time Low



All Time Low คือวง Pop Punk จาก Baltimore Maryland ซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คน คือ Alex Gaskarth Jack Barakat Rian Dawson และ Zack Merrick 

All Time Low ก็เป็นแค่วง Pop Punk ธรรมดาๆ วงหนึ่งที่เจริญรอยตาม Blink 182 ทั้งเนื้อหาเพลงและ Mv แต่ที่ไม่เหมือนอย่างเห็นได้ชัดก็คือวงนี้ หล่อกว่าเยอะ และนั้นอาจจะเป็นคำตอบก็ได้ว่าทำไมสาวๆ เมืองนอกถึงได้คลั่งไคล้วง Pop Punk วงนี้ยิ่งนัก



สมาชิกของวง

Alex Gaskarth กีตาร์+ร้องนำ


Jack Barakat กีตาร์


Zack Merrick เบส

Rian Dawson กลอง

 ด้วยแนวเพลงเกรียนๆ เท่ๆ มันส์ และหน้าตาอันหล่อเหลาของสมาชิกในวง ทำให้ครองใจคนแทบทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะสาวๆ สำหรับผม วงนี้คงเป็นวงร็อคที่เกรียนสุดๆที่เคยฟังมา




วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556





paramore


ในระหว่างที่สมาชิกคนอื่นๆในวงพาอะมอร์กำลังกังวลเกี่ยวกับภาพลักษณ์ความเป็นผู้หญิงทั้งหมดของวง เพราะมี เฮย์ลีย์เพียงคนเดียวในวงที่เป็นผู้หญิง แถมยังเป็นร้องนำ แต่เพราะว่าพวกเขาเป็นเพื่อนซี้กัน เธอจึงเริ่มทำงานเพลงได้ เฮย์ลีย์พูดถึงหนุ่มๆในวงเกี่ยวกับครั้งแรกที่เจอกันว่า

" พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่ฉันพบ ที่สนใจดนตรีในแบบที่ฉันเป็น"

วงเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2004 โดยมี จอช ฟาร์โร (กีตาร์นำ/ร้องเสริม) แซค ฟาร์โร (กลอง), เจเรมี เดวิส (เบส) และ เฮย์ลีย์ วิลเลียมส์ (ร้องนำ)และต่อมาได้เพิ่มสมาชิก เจสัน ไบนัม (กีตาร์จังหวะ) ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของเฮย์ลีย์ ในขณะเดียวกันที่เจเรมีเริ่มฟอร์มวง เขาเสียสมาธิเนื่องจากรู้ว่ามือกลองอายุเพียง 12 ปี เขากล่าวว่า

" ผมมีความเชื่อมั่นในวงน้อยมาก ในเรื่องของอายุพวกเขา ผมยังจำได้ว่าเคยคิดว่า มันคงเป็นไปไม่ได้ที่วงจะดำเนินไปได้ เพราะเขายังเด็กเกินไป แต่วันแรกที่เราฝึกกัน มันสุดยอดมาก เหมือนว่าเรามีบางอย่างที่เชื่อมถึงกัน"

จากที่เฮย์ลีย์ได้พูดไว้ "พาอะมอร์" ได้มาจากชื่อของแม่ของมือเบสคนแรกของวง ต่อมาพวกเขาถึงเข้าใจ ความหมายของ Paramore ซึ่งคือ Paramour (พา - อะ - มัวร์) หรือความรักที่ถูกซ่อน พวกเขาจึงขอใช้ชื่อนี้ แต่ออกเสียงว่า พาอะมอร์

เพลงแรกที่ถูกแต่งขึ้นด้วยกันในวงคือเพลง "Conspiracy" ซึ่งใช้เป็นเพลงปล่อยอัลบั้ม ในปี 2004 โดยรับการสนับสนุนจากวง Purple Door ซึ่งในขณะนั้น พวกเขาก็เริ่มออกทัวร์ในแถบตะวันตกเฉียงเหนือ โดยมีครอบครัววิลเลียมส์ช่วยในเรื่องการเคลื่อนย้าย เฮย์ลีย์กล่าวว่า

"หลังจากนั้น พวกเราก็มาคิดกัน ว่าหลังเรียนเราจะกลับบ้านเพื่อไปฝึกซ้อม ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เรารัก และมีความสุขกับมัน ฉันไม่คิดว่าพวกเราจะรู้ว่ามันจะเป็นยังไงต่อ หลังจากจุดๆนี้ที่เราเริ่มต้นมา"

พวกเขาเริ่มเซ็นสัญญาเมื่อเฮย์ลีย์อายุได้ 14 ปี เป็นครั้งแรกกับกลุ่มจัดทัวร์ดนตรี ซึ่งกลุ่มเอเจนซี่ เคน เฟอร์มากลีลี่ กล่าวกับ บิลบอร์ดว่า

"ผมรู้ทันทีเมื่อผมได้พบกับเธอ เธอเป็นเหมือนดวงดาวที่จรัสแสง เธอรู้ว่าเธอกำลังทำอะไร เธอต้องการจะทำอะไร และเธอวางแผนไว้แล้ว"

ซึ่งทางบริษัทก็จักคอนเสิร์ตให้กับ พาอะมอร์ ในแถบตะวันตกเฉัยงเหนือ

ผู้อำนวยการวอร์นเนอร์มิวสิค ไลเออร์ โคเฮน ได้พบค่ายอิสระ ฟิวด์บายด์ราเมน ซึ่งได้ร่วมเป็นพันธมิตรทางการดนตรีด้วยกัน และตั้งค่ายเพลงร็อคซึ่งเหมาะกับวง พาอะมอร์ ตามที่ โรเบิร์ทสัน กล่าวไว้ในขณะที่วงเริ่มทำงานกับค่ายฟิวด์บายราเมนของ ซีอีโอ จอห์น จานิค

"เขามองเห็นวิสัยทัศน์ของวงทันที" จานิคได้ไปชมงานแสดง เทส ออฟ เคออส ที่ ออร์แสนโด รัฐฟลอริดา เพื่อดูพวกเขาเล่นสดในปี 2005 หลังจากจบงานแสดงเล็กๆนั้น วงพาอะมอร์ก็ได้จดสัญญากับแอตแลนติก เรคคอร์ด และ ฟิวด์บายราเมน

การอัดเสียงวงพาอะมอร์เริ่มครั้งแรกที่ Atlantic Records เอ แอนด์ อาร์ สตีฟ โรเบิร์ทสัน และ ทอม สตอร์มส์ ส่งเดโมของวงไปทางเคนท์ มาคุส ผู้จัดการวง คิงส์ ออฟ ลีออน เขายอมรับว่า เสียงของเฮย์ลีย์ดีมาก พวกเขาจึงจัดให้มีการพบกับหัวหน้าของเขา ตามที่ โรเบิร์มสัน กล่าวไว้ในบทสัมภาษณ์กับ ฮิตควอเตอร์ส เมื่อค่ายดนตรีถูกกำหนดชะตาจากวงหนึ่งวง เฮย์ลีย์ อยากให้ทางค่ายเพลงเข้าใจว่า เธอ กับวงของเธอเริ่มต้นมาจากไหน

"เธอต้องการมั่นใจว่า พวกเราไม่ได้มองเธอเหมือนกับ 40 สุดยอดเจ้าหญิงเพลง ป๊อป เธอต้องการให้เธอและสมาชิกในวงมีโอกาสที่จะได้ร่วมแสดงในสิ่งที่พวกเขาต้องการ คือเพลงร็อค และเขียนเพลงด้วยตัวของพวกเขาเอง"