วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2556


Black Veil Brides




แบล็กวีลไบรส์ (อังกฤษ: Black Veil Brides) เป็นวงร๊อคของอเมริกา มีทีมาดั้งเดิมจากเมืองซินซินแนติ ในโอไฮโอ ทุกคนยกเว้นเพียงแต่ แอนดี้ ที่มาจาก ฮอลลีวูด แคริฟอร์เนีย (โดยที่วงนี้ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.2009 ในฮอลลีววูด) โดยในวงมีสมาชิกดังต่อไปนี้ แอนดี้ บิเออแซก (นักร้องนำ), แอชเล่ เพอร์ดี้ (เบสและคอรัส), เจค พิทท์ (กีต้าร์ลีด), จิ๊งส์ (กีต้าร์ริทึ่มและไวโอลิน) และซีซี หรือ คริสเตียน โคม่า (กลอง) Black Veil Brides เป็นที่รู้จักไปทั่วด้วยเอกลักษณ์ของพวกเขาที่แตกต่าง ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากวง Kiss และ Motley Crue

วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Sleeping With Sirens

Sleeping With Sirens Pictures, Images and Photos

    สลีปปิงวิทไซเรนส์   เป็นวงโพสต์ฮาร์ดคอร์ ของอเมริกาจาก ออร์แลนโด รัฐฟลอริดา โดยเริ่มฟอร์มวงในปี 2009 จากสมาชิกจากง For All We Know ,บอร์ดเวย์ และ We Are Defiance และมาเซ็นสัญญากับค่าย Rise Records และเริ่มโปรโมตสองอัลบั้มเต็มขอเค้า If You Were a Movie, This Would Be Your Soundtrack ซึ่งออกจำหน่ายในวันที่ 26 มิถุนายน 2012
โดยวงเริ่มมีชื่อเสียงมาจากนักร้องนำ Kellin Quinn ด้วยเสียงอันเป็นเอกลักษณ์โดยมีแรงบันดาลใจในเพลงมากจากการร้องแบบทเพลงขอบคุณพระเจ้า และอัลบั้มแรกของเค้า With Ears to See and Eyes to Hear ออกจำหน่ายในวันที่ 23 มีนาคม 2010 และเข้าชาร์ต บิลบอร์ด ท็อปฮิตในอันดับที่ 7 และอันดับที่ 36 ของท๊อบชาร์ต อินดีเปนเด๊น อัลบั้มซึ่งอัลบั้มที่สองขอพวกเค้า Let's Cheers to This ออกวางจำหน่ายในวันที่ 10 พฤษภาคม 2011 โดยเพลงแรก Let's Cheers to This ออกวางจำหน่ายในวันที่ 7 เมษายน 2011

วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556




Suicide Silence (ซูไซด์ ไซเลนซ์) คือวงลูกผสมระหว่างดนตรีเดธเมตัลกับดนตรีประเภทเมตัลคอร์ จึงทำให้ดนตรีของพวกเขาถูกเรียกขึ้นมาอีกแบบในกลุ่มผู้ฟังยุคใหม่ง่าเป็น “Deathcore (เดธคอร์)” มันจะก่ำกึ่งอยู่ระหว่างเดธเมตัลเสียมากกว่า แต่บางครั้งก็ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มของวงกระแส ไม่แปลกใจที่พวกเขามันทัวร์ได้ทั้งวงเดธเมตัล และบางงานอาจจะทัวร์สนับสนุนให้กับวงเมตัลคอร์
   เด็กหนุ่ม 5 ชีวิตจากเมืองคาลิฟอร์เนีย ตั้งวงครั้งแรกในปี 2002 สมาชิกล่าสุดประกอบด้วยChris Garza (กีตาร์), Mitch Lucker (ร้องนำ), Mike Bodkins (เบส), Mark Heylmun (กีตาร์), Alex Lopez (กลอง) พวกเขาเคยออกเดโมเทปมาก่อนหน้านี้แล้ว ถึง 2 ชุด โดยเป็นการลงทุนทำกันเอง ต่อมาอีพีชุดแรกก็เกิดขึ้นโดยมีสังกัด Third Degree Records เป็นต้นสังกัดแรก พวกเขามาโด่งดังจนเตะตาสังกัดใหญ่อย่าง Century Media เข้าด้วยสปริตอัลบัมกับวง Downtown Massacre ในปี 2006 เป็นงานที่สร้างชื่อให้กับวงค่อนข้างมาก
   2 ปีต่อมา ได้เซ็นสัญญาภายใต้สังกัด Century Media และปล่อยอัลบั้มเต็ม The Cleansing ซึ่งบันทึกเสียงโดย Krissan Duwason มิกซ์เสียงโดย Tue Madsen มี John Travis เป็นโปรดิวเซอร์ ออกแบบปกโดย Dave Mckean และอัลบั้มดังกล่าวอยู่ในอันดับที่ 94 จาก 200 อันดับของบิลบอร์ด โดยขายได้ 7,250 แผ่นในสัปดาห์แรกและกลายเป็นอัลบั้มที่ขายดีเป็นประวัติการณ์ของ Century Media ด้วยความสำเร็จจากการออกอัลบั้มนี้ Suicide Silence ได้เข้าร่วมแสดงคอนเสิร์ต Mayhem Festival ที่จัดขึ้นในปี 2008 พวกเขาทัวร์คอนเสิร์ตในยุโรปร่วมกับวง Parkway Drive และ Bury Your Dead และทัวร์ในอเมริการ่วมกับวงดังกล่าวก็ประสบความสำเร็จด้วยดี นอกจากนี้ในช่วงกลางปี 2008 ยังได้ทัวร์คอนเสิร์ตร่วมกับ Parkway Drive, A Day to Remember และ The Acacia Strain ซึ่งเป็นช่วงที่เล่นในงาน Sweat Fest และกลุ่มแฟน ๆ เริ่มขยายวงกว้างออกไปทั่วโลก
   ก่อนหน้าที่เริ่มแสดงในงาน Mayhem Festival พวกเขาก็ได้ตั้งชื่อโปรไฟล์ ใน MySpace ว่า ?Suicide Silence (Is writing a new album)? ในวันที่ 26 มิถุนายน ปี 2008 Mitch Lucker ได้ให้สัมภาษณ์ใน blog podcast ของรายการ Headbangers Ball ในบทสัมภาษณ์ Mitch กล่าวว่าจะมีการบันทึกอัลบั้มใหม่ผ่านแทรคที่แหวกแนวจากการบันทึกอัลบั้มที่ผ่านมาอย่าง The Cleansing อัลบั้มนี้วางแผงในวันที่ 30 มิถุนายน ปี 2009 แต่เปิดให้ฟังใน MySpace ก่อนวันที่จะวางแผง เขายังกล่าวอีกว่าอัลบั้มใหม่นี้จะทำให้อัลบั้ม The Cleansing ชิดซ้ายตกขอบไปเลยทีเดียว และทางวงก็ได้เลือก Machine เป็นโปรดิวเซอร์ของอัลบั้มนี้
   Suicide Silence เริ่มบันทึกอัลบั้มที่สองที่มีชื่อว่า No Time to Bleed ในเดือนกุมภาพันธ์โดยมี Machine เป็นโปรดิวเซอร์  และ Will Putney เป็น Sound Engineer  แต่ก่อนหน้าที่จะออกอัลบั้มใหม่  พวกเขาได้เล่น4 เพลงในอัลบั้มนี้แล้วคือ No Time to Bleed, Your Creations, Lifted  และ Wake Up ในคอนเสิร์ต Cleansing The Nation tour และ the Music As A Weapon tour ในเดือนเมษายนพวกเขาได้รับรางวัล Revolver Golden God Award ในสาขา Most Innovative Band? และได้ทำการแสดงในงานประกาศผลรางวัลด้วย
   ในปี 2009 Suicide Silence ได้เข้าร่วมแสดงในคอนเสิร์ต Pedal to the Metal ร่วมกับวง Mudvayne, Static-X, Bury Your Dead, Dope และ Black Label Society ในปีเดียวกัน Suicide Silence ได้รับรางวัล Golden God award ในสาขา Best New Talent ซึ่งรางวัลที่สองนี้ได้รับการยอมรับมาจนถึงปัจจุบัน Suicide Silence ได้ออกอัลบั้มเต็มอัลบั้มที่สอง No Time to Bleed ในวันที่ 30 มิถุนายน ปี 2009 ภายใต้สังกัด Century Media โดยมี Matchine เป็นโปรดิวเซอร์  อัลบั้มนี้ไต่อันดับได้สูงสุดเป็นลำดับที่ 32 จาก 200 ของบิลบอร์ด  เฉพาะในอเมริกาขายได้ 14,000 แผ่นภายในอาทิตย์แรก  เพลง Genocide ได้ถูกนำมาเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Saw VI และนอกจากนี้มิวสิควิดีโอเพลงดังกล่าวได้ออกอากาศทางเว็บไซต์ของ Bloody Disgusting Suicide Silence มีกำหนดการแสดงคอนเสิร์ตตลอด Warped Tour 2010 ใน Hurley Stage ทางวงประกาศว่ามิวสิควิดีโอเพลง Disengage ซึ่งเป็นซิงเกิ้ลที่ปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 20 เมษายน ปี 2010 จะออกอากาศในเดือนพฤษภาคม ปี 2010
   โดยปี 2011พวกเขาเริ่มเตรียมอัลบั้มเต็มชุดที่ 3ของพวกเขา ใน Big Bear, California กับ Steve Evetts  ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ที่พวกเขาเลือกไว้
ระหว่างเดือน มีนาคมพวกเขามีกลุ่มที่ดำเนินการที่แคลิฟอร์เนีย ในงาน Metalfest
และสัปดาห์ต่อมา ที่เนวาด้ากับงาน Extreme Thing festivals ทั้งนี้ในงานพวกเขาได้คอนเฟริ์มเรื่องอัลบั้มเต็มชุดที่ 3 ของพวกเขาในงานนี้ ส่วนชื่อในการทำงานของอัลบั้มนี้คือ  "Cancerous Skies", "Human Violence" และ "Fuck Everything" อัลบั้มชุดที่ 3 ของพวกเขา ก็เป็นที่น่ายินดีเพราะขายได้ 14,000 ก็อปปี้ ในสัปดาห์แรกที่อเมริกา และเปิดตัวอย่างสวยงามด้วยการขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ 28 ของ Billboard 200 Chart
   และยังได้ร่วมงานกับ "Jonathan Davis" กระบอกเสียงแห่งวง "Korn" ทำให้เพลง "Witness the Addiction" มีกลิ่นของ"์ีNu Metal" ติดมากลับเพลงไปด้วยทำให้ดนตรีมีความลำลึกถึงซาวด์สมัยก่อนที่พวกเขาได้เติบโตมา.. และที่เด็ดที่สุดคือได้ร่วมงานกับ "Frank Mullen" กระบอกเสียงแห่ง "Suffocation"
ยิ่งทำให้เพลง "Smashed" มีความดุดันมากยิ่งขึ้น และยังมี โบนัสเพลง Cover Rob Zombie Cover กับเพลง "Super Beast" อีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556

All Time Low



All Time Low คือวง Pop Punk จาก Baltimore Maryland ซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คน คือ Alex Gaskarth Jack Barakat Rian Dawson และ Zack Merrick 

All Time Low ก็เป็นแค่วง Pop Punk ธรรมดาๆ วงหนึ่งที่เจริญรอยตาม Blink 182 ทั้งเนื้อหาเพลงและ Mv แต่ที่ไม่เหมือนอย่างเห็นได้ชัดก็คือวงนี้ หล่อกว่าเยอะ และนั้นอาจจะเป็นคำตอบก็ได้ว่าทำไมสาวๆ เมืองนอกถึงได้คลั่งไคล้วง Pop Punk วงนี้ยิ่งนัก



สมาชิกของวง

Alex Gaskarth กีตาร์+ร้องนำ


Jack Barakat กีตาร์


Zack Merrick เบส

Rian Dawson กลอง

 ด้วยแนวเพลงเกรียนๆ เท่ๆ มันส์ และหน้าตาอันหล่อเหลาของสมาชิกในวง ทำให้ครองใจคนแทบทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะสาวๆ สำหรับผม วงนี้คงเป็นวงร็อคที่เกรียนสุดๆที่เคยฟังมา




วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556





paramore


ในระหว่างที่สมาชิกคนอื่นๆในวงพาอะมอร์กำลังกังวลเกี่ยวกับภาพลักษณ์ความเป็นผู้หญิงทั้งหมดของวง เพราะมี เฮย์ลีย์เพียงคนเดียวในวงที่เป็นผู้หญิง แถมยังเป็นร้องนำ แต่เพราะว่าพวกเขาเป็นเพื่อนซี้กัน เธอจึงเริ่มทำงานเพลงได้ เฮย์ลีย์พูดถึงหนุ่มๆในวงเกี่ยวกับครั้งแรกที่เจอกันว่า

" พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่ฉันพบ ที่สนใจดนตรีในแบบที่ฉันเป็น"

วงเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2004 โดยมี จอช ฟาร์โร (กีตาร์นำ/ร้องเสริม) แซค ฟาร์โร (กลอง), เจเรมี เดวิส (เบส) และ เฮย์ลีย์ วิลเลียมส์ (ร้องนำ)และต่อมาได้เพิ่มสมาชิก เจสัน ไบนัม (กีตาร์จังหวะ) ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของเฮย์ลีย์ ในขณะเดียวกันที่เจเรมีเริ่มฟอร์มวง เขาเสียสมาธิเนื่องจากรู้ว่ามือกลองอายุเพียง 12 ปี เขากล่าวว่า

" ผมมีความเชื่อมั่นในวงน้อยมาก ในเรื่องของอายุพวกเขา ผมยังจำได้ว่าเคยคิดว่า มันคงเป็นไปไม่ได้ที่วงจะดำเนินไปได้ เพราะเขายังเด็กเกินไป แต่วันแรกที่เราฝึกกัน มันสุดยอดมาก เหมือนว่าเรามีบางอย่างที่เชื่อมถึงกัน"

จากที่เฮย์ลีย์ได้พูดไว้ "พาอะมอร์" ได้มาจากชื่อของแม่ของมือเบสคนแรกของวง ต่อมาพวกเขาถึงเข้าใจ ความหมายของ Paramore ซึ่งคือ Paramour (พา - อะ - มัวร์) หรือความรักที่ถูกซ่อน พวกเขาจึงขอใช้ชื่อนี้ แต่ออกเสียงว่า พาอะมอร์

เพลงแรกที่ถูกแต่งขึ้นด้วยกันในวงคือเพลง "Conspiracy" ซึ่งใช้เป็นเพลงปล่อยอัลบั้ม ในปี 2004 โดยรับการสนับสนุนจากวง Purple Door ซึ่งในขณะนั้น พวกเขาก็เริ่มออกทัวร์ในแถบตะวันตกเฉียงเหนือ โดยมีครอบครัววิลเลียมส์ช่วยในเรื่องการเคลื่อนย้าย เฮย์ลีย์กล่าวว่า

"หลังจากนั้น พวกเราก็มาคิดกัน ว่าหลังเรียนเราจะกลับบ้านเพื่อไปฝึกซ้อม ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เรารัก และมีความสุขกับมัน ฉันไม่คิดว่าพวกเราจะรู้ว่ามันจะเป็นยังไงต่อ หลังจากจุดๆนี้ที่เราเริ่มต้นมา"

พวกเขาเริ่มเซ็นสัญญาเมื่อเฮย์ลีย์อายุได้ 14 ปี เป็นครั้งแรกกับกลุ่มจัดทัวร์ดนตรี ซึ่งกลุ่มเอเจนซี่ เคน เฟอร์มากลีลี่ กล่าวกับ บิลบอร์ดว่า

"ผมรู้ทันทีเมื่อผมได้พบกับเธอ เธอเป็นเหมือนดวงดาวที่จรัสแสง เธอรู้ว่าเธอกำลังทำอะไร เธอต้องการจะทำอะไร และเธอวางแผนไว้แล้ว"

ซึ่งทางบริษัทก็จักคอนเสิร์ตให้กับ พาอะมอร์ ในแถบตะวันตกเฉัยงเหนือ

ผู้อำนวยการวอร์นเนอร์มิวสิค ไลเออร์ โคเฮน ได้พบค่ายอิสระ ฟิวด์บายด์ราเมน ซึ่งได้ร่วมเป็นพันธมิตรทางการดนตรีด้วยกัน และตั้งค่ายเพลงร็อคซึ่งเหมาะกับวง พาอะมอร์ ตามที่ โรเบิร์ทสัน กล่าวไว้ในขณะที่วงเริ่มทำงานกับค่ายฟิวด์บายราเมนของ ซีอีโอ จอห์น จานิค

"เขามองเห็นวิสัยทัศน์ของวงทันที" จานิคได้ไปชมงานแสดง เทส ออฟ เคออส ที่ ออร์แสนโด รัฐฟลอริดา เพื่อดูพวกเขาเล่นสดในปี 2005 หลังจากจบงานแสดงเล็กๆนั้น วงพาอะมอร์ก็ได้จดสัญญากับแอตแลนติก เรคคอร์ด และ ฟิวด์บายราเมน

การอัดเสียงวงพาอะมอร์เริ่มครั้งแรกที่ Atlantic Records เอ แอนด์ อาร์ สตีฟ โรเบิร์ทสัน และ ทอม สตอร์มส์ ส่งเดโมของวงไปทางเคนท์ มาคุส ผู้จัดการวง คิงส์ ออฟ ลีออน เขายอมรับว่า เสียงของเฮย์ลีย์ดีมาก พวกเขาจึงจัดให้มีการพบกับหัวหน้าของเขา ตามที่ โรเบิร์มสัน กล่าวไว้ในบทสัมภาษณ์กับ ฮิตควอเตอร์ส เมื่อค่ายดนตรีถูกกำหนดชะตาจากวงหนึ่งวง เฮย์ลีย์ อยากให้ทางค่ายเพลงเข้าใจว่า เธอ กับวงของเธอเริ่มต้นมาจากไหน

"เธอต้องการมั่นใจว่า พวกเราไม่ได้มองเธอเหมือนกับ 40 สุดยอดเจ้าหญิงเพลง ป๊อป เธอต้องการให้เธอและสมาชิกในวงมีโอกาสที่จะได้ร่วมแสดงในสิ่งที่พวกเขาต้องการ คือเพลงร็อค และเขียนเพลงด้วยตัวของพวกเขาเอง"

วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556


จุดกำเนิดของ sweet mullet เริ่มมาจากเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว เต๋า(vocal)
อดีตนักร้องนำวง napkin และ เชษฐ์ screaming eve ตำแหน่ง samp กำลังหาสมาชิก
เพื่อจะทำวงใหม่ จนมีอยู่วันหนึ่งได้พูดคุยกับ พี่เอ๋ ebola ที่ cd warehouse เพื่อจะทำ
โปรเจ็คท์ร่วมกัน พี่เอ๋ ebola จึงแนะนำ วีน (guitar) ซึ่งเป็นรุ่นน้องให้รู้จัก
เต๋าจึงได้โทรศัพท์ไปคุยกับวีนและชักชวนมาร่วมโปรเจ็คท์นี้ด้วยกัน หลังจากที่ได้มือกีต้าร์แล้ว
ทางวงต้องการมือเบสกับมือกลอง เต๋าพอจะรู้จักคนที่เล่นเบสอยู่บ้างก็เลยไปชวน ตี่ (bass)
และตี่ก็ได้ตอบตกลงที่จะร่วมงาน ในขณะเดียวกันที่ วีน ก็รู้จักกับ อั๋น (guitar) เป็นเพื่อน
เรียนอยู่คณะเดียวกันที่ มหาวิทยาลัย มหิดล และได้ชักชวนเข้ามาร่วมวงเป็นกีต้าร์ไลน์
ประสานคู่กับวีนทางวงจึงเหลือแค่ตำแหน่งกลอง เต๋า เลยไปชวน ยิ่ว (drum) ที่ได้รู้จักกัน
ในงานประกวด drum contest ซึ่งยิ่วเข้าประกวดและได้อันดับ 2 ของรุ่น จูเนียร์มาครอง
และยิ่วก็ได้ตอบตกลงที่จะมาร่วมโปรเจ็คท์นี้ด้วยเช่นกัน
พอได้ร่วมกันทำเพลงไปได้สักระยะก็ต้องมีเหตุให้โปรเจ็คท์นี้ต้องหยุดไป
ตี่ ก็ขอกลับไปเล่นกับวงเก่า ส่วน เชษฐ์ ก็กลับไปทำงานเดี่ยวของเขาที่มีชื่อว่า
screaming eve ทางวงจึงเหลือสมาชิกเพียงแค่ 4 คน พอดีในขณะนั้น วีน มีรุ่นน้องที่
สวนกุหลาบ เป็นมือเบสและสนใจที่จะเข้ามาร่วมวง และตั้งแต่วันนั้น กล้วย (bass)
ก็เข้ามารับตำแหน่งมือเบสแทน ตี่
sweet mullet ในไลน์อัพใหม่ก็ได้เริ่มคัฟเวอร์วงที่ชอบและแต่งเพลงไปด้วย
แต่ก็เล่นไปได้ไม่นาน ยิ่ว มือกลองของวงก็ติดภารกิจต้องไปเล่นให้กับวง styrene jungle
ทางวงจึงต้องหามือกลองกันใหม่ ประจวบเหมาะกับ กล้วย มีเพื่อนร่วมรุ่นคนหนึ่งที่สวนกุหลาบ
จึงแนะนำให้วงรู้จักและลองเล่นด้วยกัน ผลปรากฏออกมาว่าผ่าน หมู (drum) ก็ได้เข้ามา
เล่นกลองแทน ยิ่ว อย่างทันท่วงที
ในปี 2543 วง sweet mullet ก็ได้ร่วมกันทำเพลงออกมากันหนึ่งอัลบั้มนั่นก็คือ
sweet mullet : panaphobia ep. เป็นเพลงที่ทางวงได้เขียนกันเอง ผลิตกันเอง เป็นแนว
Emocore วางขายกันเองตามงานคอนเสิรต์ที่วงเดินทางไปเล่นตามที่ต่างๆ และเพลงของ
sweet mullet ก็ได้เปิดทางคลื่นวิทยุ 104.5 fat radio บ้างในช่วง bedroom studio
ทำให้ชื่อ sweet mullet เริ่มเป็นที่รู้จักของคนฟังเพลงใต้ดิน
เมื่อทางวงได้ทำแผ่นออกมาขาย พอดีพี่ โน่ (ดนัย ธงสินธุศักดิ์) ซึ่งเป็น
โปรดิวเซอร์อยู่ที่ค่าย genie records ที่รู้จักกันมาก่อนโทรศัพท์มาหา เต๋า และ
ได้พูดคุยชักชวนให้ลองส่งแผ่นมาที่ genie records หลังจากนั้นก็ได้รับการติดต่อจาก
genie records ให้เข้าไปคุยกันเรื่องรายละเอียดต่างๆของการทำเพลง
เดือน มกราคม 2544 วง sweet mullet ได้เซ็นสัญญากับค่าย genie records
และมีการเปลี่ยนแปลงสมาชิกอีกครั้ง โดย กล้วย มือเบสของวงต้องกลับไปเล่นกับวงเก่า
ทำให้ sweet mullet ต้องหามือเบสกันอีกครั้ง เต๋า จึงลองโทรศัพท์ไปหา ตี่ ซึ่งเคยเป็น
มือเบสคนแรกของวง พอดีกับที่ ตี่ไม่ได้เล่นกับวงเก่าตั้งนานแล้ว เลยชวนให้กลับมารับหน้าที่
เล่นเบสอีกครั้งกับ sweet mullet ไลน์อัพปัจจุบันเลยมาลงตัวที่ เต๋า (vocal), อั๋น (guitar),
วีน (guitar), ตี่ (bass) และ หมู (drum)Adobe illustrator CS6 Patch (amtlib.dll)

วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

  Bring Me The Horizon 


           Bring Me The Horizon เป็นวงดนตรีแนวเมทัลคอร์สัญชาติอังกฤษมีต้นกำเนิดมาจากเมืองเชฟฟิลด์ เขตยอร์คเชียร์ ซึ่งได้เริ่มก่อตั้งวงกันขึ้นมาในปี 2004 โดยปัจจุบันพวกเขาได้เซ็นสัญญากับทางค่าย Visible Noise Recordsในสหราชอาณาจักร และ  Epitaph Records ในสหรัฐอเมริกา รวมถึง Shock Records ในออสเตรเลีย

BMTH เริ่มฟอร์มวงกันในปี 2004 ในช่วงเริ่มแรกทางวงได้เซ็นสัญญากับทางค่าย Thirty Days of Night Records และเป็นวงแรกที่เซ็นสัญญากับค่ายนี้
BMTHได้ออกอัลบั้มแรกของพวกเขาที่มีชื่อว่า Count Your Blessings ในเดือนตุลาคม 2006 ซึ่งวางแผงในสหราชอาณาจักร และในเดือนสิงหาคม 2007 ทางวงก็ได้วางอัลบั้มชุดนี้ออกจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา
BMTH ได้ทำการบันทึกเสียงสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 2 ของพวกเขาในสวีเดนกับ Fredrik Nordström โดยอัลบั้มชุดที่ 2 นี้มีชื่อว่า Suicide Season ซึ่งได้ทำการออกจำหน่ายเมื่อเดือนกันยายน 2008

ทางวงได้เริ่มต้นออกทัวร์อย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริการวมถึงการร่วมออกทัวร์ในรายการ Warped Tour ในปี 2008 ด้วย ทางวงBMTHได้ร่วมออกทัวร์กับวงต่างๆชื่อดังมากมายเช่น Mindless Self Indulgence, In Case of Fire, Black Tide and Dir en grey  ในรายการทัวร์ของ Kerrang! and Relentless ในปี 2009 ซึ่งเป็นทัวร์ที่เปิดทำการแสดงในสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ยังออกทัวร์ในอเมริกาเหนือในปี 2009 กับหลายๆวงเช่น Thursday, Cancer Bats, Four Year Strong and Pierce the Veil on the Taste of Chaos ด้วยเช่นกัน

ในเดือนพฤศจิกายน 2009 BMTH ได้จัดทำอัลบั้มพิเศษซึ่งเป็นอัลบั้ม remixed version จากเพลงในอัลบั้ม Suicide Season ซึ่งในอัลบั้ม remixed version นี้มีนักดนตรีชื่อดังมากมายมาร่วมแจมประกอบไปด้วย Ben Weinman จาก The Dillinger Escape Plan, Sonny Moore, L’Amour La Morgue (Ian Watkins นักร้องนำจากวง Lostprophets), Utah Saints และ Shawn Crahan จากวง Slipknot

ในเดือนมีนาคม 2009 มือกีต้าร์ Curtis Ward ได้ลาออกจากลง และต่อมาทางวงก็ได้ Jona Weinhofen มือกีต้าร์จากออสเตรเลียมาเล่นแทน

เพียงแค่สัปดาห์แรกของการออกจำหน่ายสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 3 ติดอันดับที่ 17 ของชาร์ต Billboard 200 ในสหรัฐอเมริกา และติดอันดับ 13 ในสหราชอาณาจักร และติดอันดับที่ 1 ในออสเตรเลีย อันดับที่ 1ใน UK Rock Chart รวมทั้งอันดับ 1 ใน UK Indie Chart ด้วย แม้ว่าอัลบั้มชุดที่ 3 ของBMTHจะขึ้นสู่อันดับ 1 ในออสเตรเลียและขายได้ถึง 3600 ชุด แต่มันก็เป็นยอดขายที่ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของ ARIA charts

Nottingham incident เหตุเกิดที่ Nottingham
ในขณะที่ทางวงBMTHได้ออกทัวร์ในสหราชอาณาจักรนั้น มีการกล่าวหากันเกิดขึ้นว่านักร้องนำ Oliver Sykes ได้ปัสสาวะลงบนหน้าของของแฟนเพลงผู้หญิงคนหนึ่งรวมถึงได้มีการทำร้ายแฟนเพลงคนนั้นด้วยในงาน Nottingham Rock City หลังจากที่แฟนเพลงผู้หญิงคนนั้นปฏิเสธที่จะมีความสัมพันธ์ทางเพศกับนักร้องนำวงBMTH ต่อมา Sykes ก็ถูกจับกุมในข้อหาปัสสาวะใส่แฟนเพลงแต่ไม่ถูกจับในข้อหาทำร้ายร่างกาย
มีการลือกันว่าทางวง BMTH ถูกแบนจากงาน Nottingham Rock City อย่างไรก็ตามทางต้นสังกัดของวงที่ชื่อ Visible Noise ได้ปฏิเสธข่าวลือดังกล่าว และต่อมา BMTH ก็ได้ขึ้นทำการแสดงสดในงาน Nottingham Rock City เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2007
วันที่ 13 เมษายน Sykes ได้ไปขึ้นศาล Nottingham Magistrates Court ในคดีทำร้ายร่างกายที่เขาถูกกล่าวหาเพื่อที่เขาจะได้แก้ข้อกล่าวหาต่างๆว่าเขาไม่ได้กระทำผิด  การพิจารณาคดีของเขาได้ถูกเลื่อนออกไปจนกระทั่งช่วงต้นเดือนพฤษภาคม
วันที่ 3 พฤษภาคม 2007 Sykes ได้ไปให้การในชั้นศาลเป็นครั้งที่ 2 และเขาเองก็ยืนยันว่าไม่ได้เป็นฝ่ายผิด คดีของเขาถูกเลื่อนออกไปอีกครั้งจนกระทั่งวันที่ 17 กันยายน Sykes ได้รับการยกฟ้องเนื่องจากว่าไม่มีพยานและหลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดเขาได้

สมาชิกของวง Bring Me The Horizon ในปัจจุบัน

Matt Kean − bass guitar (since 2004)



Lee Malia − lead guitar (since 2004)



Matt Nicholls − drums (since 2004)



Oliver Sykes – lead vocals (since 2004)



Jona Weinhofen - rhythm guitar, keyboards, programming, vocals (since 2009)


สตูดิโออัลบั้มของทางวง Bring Me The Horizon

Count Your Blessings (2006)
Suicide Season (2008)
There Is a Hell, Believe Me I've Seen It. There Is a Heaven, Let's Keep It a Secret (2010)


อันนี้คือผลงานเพลงใหม่ของวงชื่อเพลงว่า Shadow moses 




วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Asking Alexandria


    Asking Alexandria เป็นวงเมทัลคอร์สัญชาติสหราชอาณาจักร มาจากเมือง York เขตยอร์คเชียร์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2008 โดย Ben Bruce ซึ่งเป็นมือกีต้าร์ลีดของวงได้ติดต่อกับเพื่อนเก่าๆหลังจากที่เขาเดินทางกลับอังกฤษซึ่งก่อนหน้านั้นเขาพักอาศัยอยู่ที่ดูไบ สมาชิกของวงในปัจจุบันนั้นประกอบไปด้วย



Ben Bruce - Lead Guitar


Danny Worsnop- Lead Vocal


Cameron Liddell-Rhythm Guitar



Sam Bettley-Bass Guitar


James Cassells-Drums and Percussion





    Asking Alexandria มีจุดเริ่มต้นจากดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ซึ่งมือกีต้าร์ Ben Bruce เริ่มก่อตั้งวงและออกผลงานอัลบั้มเต็ม 1 ชุดกับสมาชิกในวงภายใต้ชื่อวงว่า Asking Alexandria  ต่อมาไม่นานนักก็มีการยุบวง โดย Bruce ได้ออกมาแถลงในวันต่อมาว่า วง Asking Alexandria นั้นจะเหลือแต่เพียงชื่อ ดังนั้นจะไม่มีการออกทัวร์แต่อย่างใด
ในปี 2008 Bruce ได้เดินทางกลับอังกฤษ โดยปล่อยให้สมาชิกคนอื่นๆในวงยังอยู่ในดูไบต่อไป อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้น Bruce ยังไม่ได้วางแผนอะไรเกี่ยวกับอาชีพนักดนตรีของเขา แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ตัดสินใจเริ่มต้นกับสมาชิกใหม่ภายใต้ชื่อวง Asking Alexandria เช่นเดิม โดย Bruce ได้เปิดเผยว่า ตัวเขาเองเป็นผู้หนึ่งที่คิดชื่อนี้ขึ้นมาและเขายังคงชื่นชอบชื่อและความหมายนี้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจใช้ชื่อวง Asking Alexandria ต่อไป และเขายังเน้นย้ำอีกว่า วง Asking Alexandria ในปัจจุบันนั้น ไม่ใช่วงเดียวกับที่แต่ง The Irony of Your Perfection ดังนั้นพวกเขาจึงแตกต่างกันถึงแม้ว่าจะมีจุึดเชื่อมโยงของวงที่คล้ายกันอยู่บ้างก็ตาม แต่คำแถลงดังกล่าวก็ยังคงสร้างความสงสัยให้กับบรรดาแฟนเพลงทั้งหลายอยู่ดี
   
     นับแต่ทางวงก่อตั้งในปี 2008 พวกเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงสมาชิกเพียงไม่กี่คนซึ่งได้เปลี่ยนแปลงจากสมาชิกวง 6 คนเป็น 5 คนโดย Ryan Binns ได้ลาออกจากวงไป รวมทั้งมือเบส Joe Lancaster ที่ลาออกไปเมื่อเดือนมกราคม 2009 โดยได้ Sam Bettley โดยทาง Lancaster ได้ขึ้นเล่นร่วมกับวงในการแสดงสดครั้งสุดท้ายของเขาที่งาน Fibers ในเมืองยอร์ค เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2009  หลังจากนั้นทางวงก็ได้เดินทางไปสหรัฐอเมริกาเพื่อทำการโปรโมตผลงานของพวกเขารวมไปถึงการเตรียมตัวเพื่อบันทึกเสียงในงานสตูดิโออัลบั้มชุดแรกของพวกเขาด้วย

    หลังจากที่ใช้เวลาในการออกทัวร์ตลอดปี 2008 จนถึงช่วงต้นปี 2009 แล้วนั้น พวกเขาก็เริ่มบันทึกเสียงผลงานสตูดิโออัลบั้มชุดแรกของพวกเขา โดยเริ่มบันทึกตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม จนถึงวันที่ 16 มิถุนายน 2009 ที่ The Foundation Recording Studios ในเมือง Connersville รัฐอินเดียน่า สหรับอเมริกา โดยมีโปรดิวเซอร์ที่ชื่อ Joey Sturgis โดยพวกเขาได้สังกัดอยู่กับค่าย Sumerian Records และในวันที่ 15 กันยายน 2009 พวกเขาก็ได้ปล่อยผลงานสตูดิโออัลบั้มชุดแรกของพวกเขาออกสู่หูของประชาชน โดยอัลบั้มชุดนี้มีชื่อว่า  Stand Up and Scream จากนั้นพวกเขาได้ทำการออกทัวร์ในอเมริการ่วมกับวงดังๆมากมายเช่น Alesana , Enter Shikari , The Bled and Evergreen Terrace เป็นต้น

     วันที่ 22 ธันวาคม 2009 ทางวงได้ประกาศว่าพวกเขากำลังเริ่มต้นที่จะทำสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 2 ในเดือนมกราคม 2010  โดยพวกเขาได้ประกาศว่าจะเริ่มเข้าสตูดิโอกันในเดือนกันยายนโดยยังมือโปรดิวเซอร์คนเดิมคือ Joey Sturgis ทางวงได้ยืนยันผ่านการสัมภาษณ์ทาง Shred News ว่า อัลบั้มชุดที่สองนี้จะวางแผงราวๆต้นปี 2011 และจะมีทั้งสิ้น 12 เพลง
ในเดือนมีนาคม Asking Alexandria ได้มุ่งหน้าไปกับการออกทัวร์รายการ Attack Attack! ซึ่งเป็นการทัวร์ในแถบอเมริกาเหนือก่อนที่จะจบทัวร์นี้ในเดือนเมษายน หลังจากนั้นพวกเขาจะออกทัวร์ยุโรปรวมถึงการทัวร์ยิ่งใหญ่ประจำปีในรายการ Groezrock Festival ด้วย
เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2011 ที่ผ่านมา ทางวงได้วางแผลอัลบั้ม EP ที่มีชื่อว่า Stepped Up and Scratched ซึ่งเป็น Remixed Album
ล่าสุดทางวงได้ออกมาประกาศแล้วว่า สตูดิโออัลบั้มชุดที่สองของพวกเขาที่ชื่อ Reckless and Relentless จะวางจำหน่ายในวันที่ 5 เมษายน 2011