วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557


Attack Attack

ซึ่งวงนี้มีการสับเปลี่ยนสมาชิกภายในวงบ่อยมาก (จนแอดมินไม่รู้จะใช้รูปไหนดี) สำหรับแอดมินมันบ่อยที่สุดแล้วเท่าที่รู้มา แต่ที่เหลือเชื่อคือ ถึงแม้จะเปลี่ยนสมาชิกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง วง Attack Attack! ก็ยังคงอยู่และใช่ชื่อเดิมมาจนถึงปัจจุบัน โดย Attack Attack! เป็นวง Post-Harcore จากเมือง Westerville, Ohio ซึ่งเริ่มฟอร์มวงในปี 2005
ในช่วงแรกมีสมาชิกอยู่ 5 คนด้วยกัน ได้แก่ Austin Carlile, Ricky Lortz, Andrew Whiting, Nick White และ Andrew Wetze แต่หลายเดือนต่อมา Ricky Lortz (Guitarist)ได้ประกาศออกจากวงแต่ก็ได้ Johnny Franck มาเล่นกีต้าร์และร้องคลีนให้กับวง
มาได้ซักพัก Nick White (Bassist) ก็ออกจากวงไปอีกแล้ว แต่ก็ไม่วายได้มือเบสคนใหม่มาแทนคือ John Holgado และยังได้ Caleb Shomo มาทำหน้าที่ Synthesyzer ให้อีกด้วย
หลังจากนั้นพวกเค้าก็ได้เปิดตัวอัลบั้ม EP เมื่อปี 2008 ในชื่ออัลบั้ม " If Guns Are Outlawed, Can We Use Swords? " และอัลบั้มนี้แหละที่นำพวกเค้าไปสู่การลงนามในสังกัต Rise Records

และในปีเดียวกันพวกเค้าก็ได้ออกอัลบั้มเต็ม โดยใช้ชื่อว่า Someday Came Suddenly (2008) ซึ่งถือเป็นการเติบโตอย่างมากเพราะอัลบั้มของพวกเค้าได้เข้าไปอยู่ในอันดับที่ 25 ของ Billboard 200 และมียอดขายในสัปดาห์แรกมากกว่า 3,600 แผ่น
แต่หลังจากนั้น Austin Carlile นักร้องนำได้หันหลังให้กับวง Attack Attack! และไปตั้งวงใหม่ ซึ่งทุกคนรู้จักกันดี คือวง Of Mice & Men
ทางวงที่เหลือจึงได้เรียกตัว Nick Barham อดีตนักร้องวง For All We Know แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน Nick Barham ได้ขอออกจากวงเมื่อปลายปี 2009 จนมีกระแสวิพากวิจารณ์ว่า วง Attack Attack! ขาด Austin Carlile อาจล่มได้แต่ ตั้งแต่ออกอัลบั้มแรก และทัวร์ของพวกเขา ทำให้รู้ว่าวงนี่้คืออีกวง ที่ไม่ได้อยู่ได้เพราะนักร้องนำ แต่อยู่ได้เพราะ สมาชิก ทุกคนในวง...ทำให้ Caleb Shomo มือ Synthesyzer ตักสินใจหันมาเป็นนักร้องนำอย่างเต็มตัว และมากไปกว่านั้นเขายังทำหน้าทื่ Pre-Production ในอัลบั้ม Attack Attack! (อัลบั้ม Self Titled 2010)

และก็มาถึงอัลบั้มที่สาม ที่เปิดตัวในวันที่ 17 มกราคม 2012 โดยใช้ชื่ออัลบั้มว่า "This Means War" และยังคงอยู่ในสังกัตของ Rise Records แต่เมื่อไม่นานมานี้ก็ได้มีการเปลียนสมาชิกอีกแล้วครับท่าน โดย Caleb Shomo และพ่อหนุ่มหูโตอย่าง A.J. Holgado ได้ออกไปจากวงอีกแล้ว ทางวงจึงได้รีบเร่งหาสมาชิกคนใหม่อย่างรวดเร็ว โดยได้ Phil Druyor มาร้องให้กับวง และเพื่อนร่วมห้องของเขาคือ Tyler Sapp มาเล่นเบสแทน A.J. Holgado ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 4 คน ได้แก่
Phil Druyor (Vocalist)
Andrew Whiting (Guitarist)
Tyler Sapp (Bassist)
Andrew Wetzel (Drummer)

วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2557



Slipknot

Iowa ซึ่งคนส่วนใหญ่รู้จักกันในนาม "แปลกแยกไม่มีใครเสมือน." รัฐแห่งการเกษตรกรรม ซึ่งตั้งแต่ที่ Rock ’n Roll จรัสแสงในช่วงยุค50’s รัฐนี้ก็ไม่มีนักดนตรีระดับพระกาฬโผล่ขึ้นมาในสารบบดนตรี การให้ฉายาแก่นักดนตรีจากชื่อรัฐไม่เป็นที่ถกเถียงว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างไรก็ตามเก้ามนุษย์หน้ากากจาก Des Moines ก็เข้าไปประดับในวงการดนตรีกับหน้ากากที่ทำขึ้นเองและการรุกเร้ารีบร้อนผสม ผสานแนวดนตรีกับการสำรอกอันรุนแรงในแนว L.A. neo metal, hiphop, และ Downtuned screeching horror ล้วนแล้วแต่อยู่เหนือความคาดหมายเช่นเดียวกับแนวของเรื่อง Clock work Orange (นวนิยายแนววิทยาศาสตร์ ที่นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ เป็นเนื้อหาที่เด็กวัยสิบห้าปีทำสิ่งที่ทารุณโหดเหี้ยม ขอไม่พูดลงลึกถึงรายละเอียด)


          คุณเคยคิดถึงเกี่ยวกับวงดนตรีฮาร์คอร์เมทั่ลที่หนักหน่วงผนวกซาวด์อันรกหู ที่มีกำเนิดมาจาก "the middle of nowhere" กันบ้างไหมว่าจะมีซาวด์เช่นไร? “ความรุนแรงอันบ้าคลั่ง” เพิ่งจะเริ่มต้นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเท่านั้น


          0,1,2,3,4,5,6,7, และ 8 คือเลขประจำตัวของเหล่ายอดมนุษย์ เอ๊ย! มนุษย์หน้ากาก (ชื่อจริงในภาคของมนุษย์ปุถุชนทั่วไปเรียงตามหมายเลขคือดังนี้ ดีเจประจำวง ซิด วิลสัน, โคตรมือกลองร่างลูกหมา โจอี้ จอร์ดิสัน, จอมเกเรพอล เกรย์ในตำแหน่งมือเบส, เพอร์คัสชั่นจมูกยาวคริส เฟน, มือกีตาร์ร่างโย่งเจมส์ รู้ท, แซมเพลอร์เคลก โจนส์, ตัวตลกจอมบงการชอว์น คลาฮาน, มือกีต้าร์หมีควายมิก ทอมสัน, และคอรี่ เทย์เลอร์รับบทแผดเสียงคำรามตามลำดับ)


          แต่ละคนมิเพียงแค่มาพร้อมกับภาพลักษณ์ และตัวเลขที่น่าสยองพองเกล้าขนหัวลุกเป็นที่สุดแล้ว แต่มาพร้อมกับพรสวรรค์อันอุกอาจในการกระทำชำเราบรรเลงบรรลัยเครื่องดนตรีของ แต่ละคนผสมผสาน และขัดแย้งในภาคดนตรีของเก้ามนุษย์หน้ากาก ผู้ซึ่งถูกกล่าวขานว่าเป็นพระเจ้าและผู้ทำลายล้างของวงการโมเดิร์น เฮฟวี่ นี่คือ Slipknot และตอนนี้ด้วยอุปกรณ์และพรสวรรค์ที่พวกเขามีนั้น ณ เวลานี้โลกเราไม่มีทางเลือกใดๆแล้วเพราะการมาถึงของโคตรวงจากนรก Slipknot และคุณต้องตัดสินใจแล้วว่าจะรับมือกับมันอย่างไร


          ฟอร์มวงกันในตอนครึ่งหลังปี1995 ทางวงได้ผ่านพ้นความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงสมาชิกดั้งเดิมและนี่ก็เป็นการมา ถึง ซึ่งพวกเขาได้อธิบายไว้ว่าเป็น “กลุ่มครอบครัว” ทุกๆคนเป็นชาว Iowans ขนานแท้ ด้วยความที่ไม่ยะโสอวดดีและสถานที่ที่ลงตัวของพวกเขานั้น ทำให้ทางวงมีระยะห่างเรื่องเวลาเต็มที่ในการแก้ไขจุดผิดพลาดของความหนัก กะโหลกป่วนโสตประสาทให้แจ่มแจ๋วและหนักแน่นยิ่งขึ้น ทางวงบันทึกเสียงและเผยแพร่อัลบั้มใต้ดินชุดแรกออกมาให้ผืนภิภพสะเทือนที่ ชื่อ Mate Feed Kill Repeat


          ในปี 1996 ในจำนวนจำกัด 1000 ชุดและชื่อเสียงของพวกเขาก็เสมือนกับลูกบอลที่ยิ่งหมุนยิ่งแรงไม่เคยหยุด ตั้งแต่ที่ดึงดูดความสนใจค่ายเพลงต่างๆ แต่สุดท้ายแล้ว Slipknot ได้ตัดสินใจเซ็นสัญญากับค่าย Roadrunner ค่ายเพลง IAM RECORDSของโปรดิวเซอร์ผู้โด่งดัง รอส โรบินสัน ในปี 1997 และเดินทางไปบันทึกเสียงอัลบั้มบนดินชุดแรกที่ใช้ชื่อเดียวกับวง Slipknot ที่ Indigo Ranch สตูดิโอใน L.A. กับโรบินสัน จากการระรัวเร็วรวดในบทเพลง Sic และ unforgiving bludgeon (ผู้แปลตึ๊บเลย) ของเพลง Surfacing ไปสู่ท่วงทำนองในแบบของ Sublime


          ในเพลง Wait and Bleed และจังหวะขับเคลื่อนมนต์สะกดในเพลง Prosthetics บทสรุปสุดท้ายก็คือ 13 บทเพลงที่กอปรด้วยตัวอักษรแห่งความรักและความเกลียดชังไปสู่โลกภายนอก การทัวร์ที่จะบังเกิดตามมาได้รับการให้คำมั่นสัญญาว่า "จะไม่เหมือนเยี่ยงใครหน้าไหน จงเชื่อในสิ่งที่จะได้เห็น." ชอว์น กล่าวเช่นนั้น และนั่นคือคำชี้แจงโต้งๆถึงสิ่งที่จะมีปรากฏบนเวที


          จนกระทั่งคุณได้สดับสรรพเสียงที่พวกเขาสร้างขึ้น แม้อาจจะดูไร้สาระที่มีสมาชิกอยู่ในวงถึงเก้าหน่อ แต่หัวหน้าคณะอย่างชอว์นก็อ้างว่า มันไม่มีทางอื่นแล้วนี่หว่าพวก “เมื่อ3ปีก่อนน่ะพวกเราต้องดูแลเรื่องตารางการฝึกฝนอย่างเข้มงวด ทุกคนต้องตรงต่อเวลาและต้องอยู่ที่นั่นตลอด และพวกเราก็ต้องซ้อมกันเป็นหมู่คณะ
เพลงของพวกเรามันขึ้นอยู่กับทุกคน คือถ้าขาดใครซักคนหรือแม้แต่ DJ ก็ตาม เพลงๆนั้นก็คงไม่ใช่เพลงของเราเพราะหากไม่มีใครคนใดคนหนึ่งมันก็เหมือนกับ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในตัวเพลงหายไปมันหายไปจริงๆทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเสนอข้อคิดเห็น แม้แค่เพียงจุดเล็กๆที่จะเพิ่มมนต์ดำลงไปในตัวเพลง”


          แม้ว่าจะมีภาพลักษณ์อันโดดเด่นในฐานะศิลปินแต่ทางวงก็ไม่เคยที่จะให้ภาพ ลักษณ์นั้นโดดเด่นกว่าตัวบทเพลง “พวกเราไม่เคยสวมชุดเหียกๆนี่แล้วพยายามทำให้คนเข้าหาหรอกเว้ย” มือกลองร่างลูกหมากล่าว เราทำไปก็เพราะ หลังจากถูกเหยียดหยามอย่างไม่ลดละ สำหรับการพยายามที่จะเล่นดนตรีหรือทำอะไรก็ตามใน Des Moines ไม่มีใครให้ฟักคุณหรอก ไม่มีใครมาใส่ใจอะไรทั้งนั้น ดังนั้นเราจึงไม่ไปใส่ใจกับชื่อหรือว่าหน้าตาของพวกเราหรอก เราใส่ใจเฉพาะตัวดนตรีและเพลงของเรา ดนตรีและเสียงเพลงคือสิ่งสำคัญที่สุด แม้ว่าเราจะมีชุดหมีใหญ่กับหน้ากาก และเหตุผลบางประการที่เจ๋งจั๋งหนับที่เราต้องใส่มันต่อๆไป ก็เพราะว่ามันได้กลายเป็นโลโก้ของเราไปแล้วเว้ย”


          และตอนนี้หน้ากากนั้นเป็นเครื่องหมายการค้าของพวกเขาทั้งเก้าไปเสียแล้ว และมันคงยากแสนเข็ญที่จะให้พวกเขาปราศจากมันไป ชอว์นกล่าวว่า “หน้ากากคือมีส่วนช่วยเพิ่มลักษณะเฉพาะตัวของพวกเรา ทุกๆคนแยกแยะการกระทำกับความบ้าคลั่งออกจากกัน และพวกเราก็คอยปรับเปลี่ยนหน้ากากของพวกเราอยู่ตลอดเวลา มันเป็นอะไรที่สุดยอดรื่นเริงบรรเทิงจิตในเวลาที่เราใส่หน้ากากเป็นชั่วโมงๆ แล้วถอดมันออกหลังจากนั้น คุณเอ๊ย สิ่งแรกที่พวกเราจะสบถออกมาคือ “พระเจ้า…แ***ผ่อนคลายฉิบ!” แต่ก็นะ พวกเราก็จะสวมมันกลับแล้วเดินไปรอบๆหลังจากการแสดงสิ้นสุดลง“ และการนำเสนอภาพลักษณ์แสงสีและเวทีก็เปลี่ยนแปลงด้วยตลอดเวลามีเพียงสิ่ง เดียวที่คงเดิม


          นั่นคือดนตรีของพวกเขา “อั๊วคิดว่าสิ่งต่างๆ ใน Slipknot จะเปลี่ยนแปลงไปเสมอเพราะเราเติบโตขึ้นในทุกปี กับสิ่งที่คุณเปลี่ยนแปลงไปและบางสิ่งที่ Slipknot นั้นก้าวเดินเพื่อทำมันตลอดเวลา” มาดูเกี่ยวกับตัวเลขที่พวกเขาแปะไว้บนแขนเสื้อชุดหมีใหญ่กัน ตัวเลขเหล่านี้เป็นเลขแห่งความโชคดีของพวกเขา และมีความหมายความสำคัญกับแต่ละคนอย่างมากด้วย เมื่อพวกเขาเลือกมันแล้ว “ทุกๆ คนก็จะตกอยู่ในห้วงแห่งตัวเลข” ชอว์นกล่าว “มันไม่มีใครซักคนมานั่งเถียงกันเรื่องตัวเลขหรอกเพราะมันประสาทเกินว่ะ”


          ต้องขอบคุณ รอส โรบินสัน ผู้ล่ำสันที่คอยดูแลอยู่เบื้องหลังในงานของ Slipknot, มุมองของทางวง ประสบความสำเร็จ ชอว์นรู้สึกว่าโรบินสันนี่แหล่ะคือแรงกระตุ้นและผลักดันอันเยี่ยมยอดในการทำ อัลบั้มของวงให้สำเร็จ “พวกเรามันวงโคตรของโคตรวงสุดโฉดและมันก็ยากมากๆ ที่หาใครซักคนที่กล้าจะย่างก้าวเข้ามาสู่อาณาจักรสุดป่าเถื่อนในเวลาที่เรา เล่นกันเป็นหมู่คณะ” และ รอสก็พาเราไปสู่ห้องอัดเสียงและก็ตั้งเป้าหมายทะลุกลางปล้องขึ้นมา ตัวเขาเองก็ทำตามเป้าหมายนั้น เขาตื่นไปที่ห้องอัดเสียงตั้งใจทำงานทุกวันจนประสบผลสำเร็จ ดังนั้นเขาคือคนที่ทำให้อัลบั้มของเราเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา


          เมื่อค่าย Reps และ Robinson เดินทางมาชมความสุดยอดในการแสดงสดของวงที่ Des Moines หลังจบโชว์สมาชิกแต่ละคนเลือกที่จะมุ่งไปยังคลับเปลื้องผ้าในเมืองมากกว่าจะ เอนเตอร์เทนผู้ชม ภายหลังจากที่เจ้าบ้านกล่าวทักทายแขกเสร็จทางวงก็ถูกเผาจนเกรียม และตอนนี้ก็ไม่มีใครในวงต้องการจะย่างก้าวเข้าไปในคลับเปลื้องผ้านั้นอีกเลย “ไอ้คลับโป๊เฮงซวยเอ้ย! มันบัดซบมากที่จะพาใครไปที่คลับกระจอกๆอย่างนั้น เรามีอย่างอื่นที่ต้องทำมากกว่าเว้ย” ความ “เหียก” ก็บรรจุในกล่องเล็กๆโก้เก๋นามว่า Slipknot เสียงอันไม่ลงรอยกันของ “ความแปลกแยกไม่มีใครเสมอเหมือน” ภูมิประเทศที่ Slipknot อาจจะเป็นได้ทั้งตัวตลกหรือจอมราชัณย์ในสายตาของทุกคน

วันศุกร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2557



Eyes Set to Kill
Eyes Set to Kill (หรือเรียกอีกอย่างว่า ESTK) เป็นวงเมทัลคอร์จาก Tempe, Arizona สองพี่น้องตระกูล Rodriguez อย่าง Alexia และ Anissa พร้อมกับอดีตร้อง Lindsey Vogt พากันเริ่มก่อตั้งวงในปี 2003 Lindsey Vogt ออกจากวงในปี2007 เนื่องจากมีปัญหาเกี่ยวกับการจัดการของวง หลังจาก Lindsey Vogt ออกจากวง Alexia Rodriguez ก็ได้ทำหน้าที่ในการเป็นกระบอกเสียงและมือกีตาร์ของวง

The World Outside ได้เลือกให้ critical acclaim และทางวงเป็นผู้โดดเด่นบนปกหน้าของประเทศสหรัฐฯในวันนี้ Broken Frames  ได้รับเลือกเป็นอันดับที่ 5 ในรายชื่อของ Locals Only ในการคัดเลือกจาก The Best Albums และ EPs ในปี 2010

ชื่อของวง Eyes Set to Kill  ได้มาจาก Alexia กระบอกเสียงของวง จากบทกวีที่เธอเขียนตอนที่เธอเรียน high school. Eyes Set to Kill  เริ่มต้นวงในปี 2004  เป็นวงดนตรีจาก Tempe สมาชิกในตอนนั้นมี Alexia Rodriguez (กีตาร์รีด, กระบอกเสียง), Anissa Rodriguez (เบส), and Lindsey Vogt (กระบอกเสียง)

พวกเขาได้ค้นหานักดนตรีเพื่อเข้าร่วมวงจากพื้นที่ในท้องถิ่นเรื่อยๆ . พวกเขาได้ทำงานร่วมกันบนเวทีกับศิลปินที่ร่วมกันเซ็นสัญญา รวมทั้ง Blessthefall, Goodbye Tomorrow, My American Heart, และ Greeley Estates ด้วย

ต้นปี 2006 ทั้ง 3 คนได้แก่ Alex Torres (กีตาร์), Brandon Anderson (กระบอกเสียง), และ Brett Litzler (มือกลอง) ได้เข้าร่วมทัพกับวง

พวกเขาได้ทำงานให้กับวงอย่างเต็มที่ หลังจากเสียสมาชิกในวงไป และในการทำ EP ในปี 2006 กับ Arizona's Larry Elyea ในสตูดิโอของเขาด้วย .....
...อ้างอิง http://sz4m.com/b2513089

วันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2557

Bless The Fall 



ตอนแรก ฟอมวงขึ้นมาในกลุ่มเพื่อนๆ ไฮสคูล ตอนแรกมีกัน 3 คน รวมทั้ง Craig Mabbit ด้วย หลังจากนั้นก็ค่อยๆ หาสมาชิกเพิ่มขึ้นมาแล้วก้อ ออก EP มาในกลางๆปี 2005 ชื่อว่า Black Rose Dying EP พอมาปี 2006 ก้อออก EP มาอีกคือ Blessthefall EP ซึ่งช่วงนั้นก้อได้ทัวกับพวก Alesana และ Norma Jean พวกนี้ ในฝั่ง อาเมริกา - แคนนาดา

แล้วอัลบั้มชุดเต็มก้อปล่อยออกมาชื่อว่า His Last Walk ในปี 2007 แล้วก้อได้ไปเล่นในเทศกาลดนตรี Waped Tour ในปีนั้นด้วย แล้วยังได้ทัว กับวงร่วมรุ่นอย่าง Escape the Fate, LoveHateHero, Before Their Eyes, Dance Gavin Dance
ช่วงนั้น Craig hot มาก วง Bless The Fall อยู่ในช่วงขาขึ้น Peak สุดๆ เด็กวัยรุ่นผมปิดหน้า ไม่มีใครไม่รู้จักวงนี้
แถมยัง แสดง spirit ปีนขึ้นเสาข้างเวที แล้วโดดลงมาหาคนดู

ระหว่างการทัว ในปี 2007 Craig Mabbit นักร้องนำ ออกจากวง เพราะว่า ต้องไปดูแล ครอบครัว พอจะกลับไปเข้า Bless The Fall ใหม่ ทางวงก็ไม่ให้เข้าแล้ว เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงทัวอยู่ (ทิ้งกันซะงั้น - -'' ) Craig เลยไปร้องนำชั่วคราวให้กับวง The World Alive ในช่วงนี้

ไลน์อัพ ปัจจุบัน Craig ไป Escape The Fate ถาวร มาแทน Ronnie ที่ติดคุกข้อหา ทะเลาะวิวาทในผับ (เพิ่งมารู้ตอนหลังว่าถูกใส่ร้าย จริงๆแล้วเจ้าตัวไม่ได้เป็นคนกระทำผิด)
ตอนนี้ก้ออกจากคุกแล้ว ยังหล่อเข้มเหมือนเดิม แต่ไปอยู่วงไหน อันนี้ผมไม่ทราบ -*---

ส่วน Bless The Fall กับ The World Alive ก้อหานักร้องนำคนใหม่ได้แล้ว (นักร้องนำใหม่ 2 คนนี้ผมไม่มีข้อมูล เพราะไม่ได้ติดตาม)

ปี 2009 Bless The Fall ปล่อยอัลบั้มเต็มชุดที่ 2 ชื่อว่า Witness โดยเซ็นสัญญากับ Fearless Records พร้อมกับนักร้องนำคนใหม่ ซึ่งผมลองฟังแล้ว ดนตรีจัดจ้านกว่าเดิมมาก 3 Track แรก นี่ใส่กันกระจุย แบบไม่ให้แฟนเก่าต้องผิดหวังแน่นอน
ผิดกับ Escape The Fate พอ Craig ย้ายไปอยู่ที่วงนั้น ดูเหมือนความ Hot จะตกลงไปเยอะ ด้วย look ที่เปลี่ยนไป บวกกับอะไรหลายอย่าง แถมยังไม่ค่อยจะ Scream อีกต่างหาก (ตอนอยู่ Bless The Fall แหกปากเอาๆ ) แต่ส่วนตัวผมว่า Escape The fate วงดูโตขึ้นมากทีเดียวเลยนะ

ผมมีเพื่อนที่อยู่แคนนาดา มันบอกว่า พวกนี้มันไม่ค่อยห่วงเรื่องสมาชิกวง เพราะ มันมีพวกเพื่อนๆเยอะ (พวกเพื่อนร่วมทัวนั่นแหละ) มันก้อย้ายวงกันไปๆมาๆ หยิบยืมคนนู้นคนนี้มาเล่นให้มั่ง พอคิดว่าคนนี้เจ๋ง ก้อเอามาร่วมวง โดยไม่ค่อยแคร์สมาชิกที่ออกไปเท่าไหร่หรอก

สรุปอัลบั้ม ของ Bless The Fall

2005 Black Rose Dying EP
1.There's a Fine Line Between Love and Hate
2.Black Rose Dying
3.Wait for Tomorrow

2006 Blessthefall EP
1.Times Like These"
2. Higinia
3. Wait For Tomorrow
4. Black Rose Dying
5. Pray
6. Interlude
7. Take Me Now
8. The Fine Line Between Love And Hate

2007 His Last Walk
1. A Message To The Unknown
2. Guys Like You Make Us Look Bad
3. Higinia
4. Could Tell A Love
5. Rise Up
6. Times Like These
7. Pray
8. With Eyes Wide Shut
9. Wait For Tomorrow
10. Black Rose Dying
11. His Last Walk
12. Rise Up (Acoustic) *BONUS TRACK*

2009 Witness
1. 2.0
2. What's Left of Me
3. To Hell and Back
4. God Wears Gucci
5. Hey Baby, Here's That Song You Wanted3:14
6. Witness
7. Last Ones Left
8. Five Ninety
9. We'll Sleep When We're Dead
10 .Skinwalkers
11.You Deserve Nothing and I Hope You Get Less
12. Stay Still